วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หาดทรายดาว ในหมู่เกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น


ทะเล Hoshizuna มีลักษณะธรรมดาเหมือนทะเลทั่วไป แต่ทะเล Hoshizuna มีสิ่งที่ไม่ธรรมดาก็คือ เม็ดทรายบนหาดทราย ที่มองเพียงครู่ก็เหมือนหาดทรายปกติ แต่ถ้าลองหยิบทรายขึ้นมาส่องอย่างละเอียดแล้วจะเห็นได้ว่า เม็ดทรายที่นี่มีลักษณะละม้ายคล้ายดาว


แต่ทำไมเม็ดทรายที่นี่ ถึงเป็นรูปดาว? มีสมมติฐาน 2 ประเด็น คือ

ข้อแรกเป็นเรื่องราวตามตำนานซึ่งกล่าวว่า เม็ดทรายรูปดาวเหล่านี้ คือ ลูกหลานของ กลุ่มดาวกางเขนใต้ กับ ดาวเหนือ ดาวน้อยเหล่านี้ถือกำเนิดในทะเลนอกชายฝั่งโอกินาวา แล้วถูกงูยักษ์ฆ่าตาย เหลือทิ้งไว้เพียงเศษกระดูกรูปดาวที่ถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นมากมายบนหาด


ข้อที่สองเป็นหลักทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวว่า ทรายละเอียดรูปดาวเหล่านี้ เป็นซากโปรโตซัวที่อาศัยตามพื้นทะเล ซึ่งมันจะมีโครงสร้างคล้ายหอย ที่เห็นป็นแฉกออกมาคือ ระยาง อวัยวะส่วนหนึ่งที่ใช้สำหรับการเคลื่อนที่และเก็บอาหาร เมื่อมันหมดอายุขัย ส่วนที่เป็นแคลเซียมคาร์บอเนท ก็จะถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นบนชายหาด นานวันเข้าก็สะสมเป็นปริมาณมหาศาล ทำให้หน้าหาดกลายเป็นที่ของซากพวกมันทั้งหมด


โดยปกติทรายหน้าหาดมักจะโดนลบคมจนเราสามารถใช้เท้าเปล่าเดินเล่นได้ เนื่องจากน้ำทะเลได้พัดพาคลื่นขึ้นลง คอยเหลาคมกรวด จนหมดไป ต่อไปในอนาคตซากโปรโตซัวเหล่านี้ก็อาจจะถูกลบคมโดยคลื่นแห่งมหาสมุทรนี้ก็เป็นได้








ติดต่อสอบถามแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่
http://www.iam-tour.com/

ใบไม้เปลี่ยนสี ฮาโกเน่ (Hakone) ญี่ปุ่น


           ฮาโกเน่ ได้รับการบันทึกว่า เป็นเมืองด่านบนเส้นทางถนนเก่าแก่ โทไกโด ที่เชื่อมต่อระหว่างภาคตะวันตก และภาคตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น ด้วยความเป็นเมืองประวัติศาสตร์ ทำให้ใน ฮาโกเน่ มีตึกโบราณหลายแห่ง รวมไปถึง สถานที่ท่องเที่ยว อันเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมพื้นบ้านเก่าแก่ของ ญี่ปุ่น 


ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พฤศจิกายน เป็นเวลาของการชม ใบไม้เปลี่ยนสี นักท่องเที่ยวที่นิยมธรรมชาติ สามารถเพลินไปกับหลากสีสันของใบไม้ ได้ตามสวนสาธารณะ และสวนพฤกษศาสตร์หลายแห่ง ใน ฮาโกเน่ เช่น อุทยานฮาโกเน่โกระ และ อุทยานอนชิ  - ฮาโกเน่ ที่จะพราวไปด้วยสีสันด้วยดอกไม้ตามฤดูกาล ขณะที่ดอกไม้พันธุ์ก็ที่เบ่งบานตลอดทั้งปี บวกกับทิวทัศน์ที่สวยงามหลากหลายอย่าง ทะเลสาบอะชิ และภูเขาไฟฟูจิทำให้ ฮาโกเน่ เป็น สถานที่ท่องเที่ยว ที่สามารถไปชมได้ตลอดทั้งปี


แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ใน ฮาโกเน่ มีแหล่งน้ำพุร้อนถึง 17 แห่ง ทั้งสถานบริการแช่น้ำพุร้อนแบบชั่วคราว ที่มีอยู่มากมายหลายแห่ง ไปจนถึงบ่อน้ำพุร้อนภายในโรงแรม และสถานที่พักตากอากาศ แบบค้างคืนที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลากับการแช่น้ำพุร้อนได้เต็มที่
                                                    นอกจากนั้น ฮาโกเน่ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางด้านศิลปะหลายแห่ง เช่น พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง แห่งแรกในญี่ปุ่นหรือพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งฮาโกเน่ พิพิธภัณฑ์แก้วแบบเวนิส พิพิธภัณฑ์เพื่อระลึกถึงนักเขียนชื่อดังอย่างพิพิธภัณฑ์แซงต์-เตกซูเปรี และเจ้าชายน้อย ฯลฯ

ติดต่อสอบถามแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่
http://www.iam-tour.com/

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

10 อันดับมรดกโลกของญี่ปุ่นที่คู่รักอยากไปออกเดทมากที่สุด


อันดับที่ 1 เกาะยะกุชิมะ จังหวัดคาโงชิมะ                       
         เกาะยะกุชิมะ(Yakushima Island) เป็นเกาะที่มีความงดงามทางธรรมชาติสูงมาก โดยมีลักษณะเป็นเกาะรูปทรงกลมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดคะโงะชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ห่างจากตัวเกาะคิวชูไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 60 กิโลเมตร 
จุดเด่นของเกาะคือต้นไม้ Cryptomeria หรือ สุงิ ขนาดใหญ่จำนวนมากซึ่งมีอายุนับได้กว่าพันปี เช่น ต้นโจมงซุงิ ซึ่งมีเส้นรอบวงถึง 16.1 เมตร สูง 30 เมตร และมีอายุกว่า 3,000 ปี  นอกจากนั้นสภาพอากาศบนเกาะที่มีตั้งแต่สถาพอากาศแบบเขตกึ่งร้อนชื้นจนถึงสภาพอากาศแบบหนาวเย็น ยังเป็นจุดสนใจของเกาะนี้จากนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมอีกด้วยอีกด้วย 




อันดับที่ 2 หมู่เกาะโอกาซาวาระ

         เกาะโอซากาวาระห่างจากศูนย์กลางโตเกียวไปทางมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ประมาน1000กิโลเมตร ความยาวเหนือจรดใต้ประมาณ400กิโลเมตร ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่อีกมากกว่า30เกาะ มีพื้นที่ทั้งหมด7940ไร่ เป็นเกาะที่อยู่ในมหาสมุทร จึงทำให้พืชและสัตว์มีวิวัฒนาการเป็นของตัวเอง จึงเกิดการทดลองทางวิวัฒนาการของพืชและสัตว์ที่อยู่บนเกาะซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็น"กาลาปากอสฝั่งตะวันออก"


อันดับที่ 3 เมืองหลวงเก่าเกียวโต
         เมืองเกียวโต หรือ เมืองเคียวโตะ (「京都市」, Kyōto-shi, 京都市) (โดยทั่วไปมักสะกดว่า "เกียวโต") ทีลักษณะคล้ายๆกับเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดเคียวโตะ อดีตเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 1,200 ปีก่อน ในเมืองเคียวโตะมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย อาทิ เช่น วัดคิงกะกุถูกสร้างเมื่อปี พ.ศ. 1940 เป็นวัดที่ถูกสร้างโดยอาชิคางะ โยะชิมิสึ ซึ่งเป็นโชกุนแห่งรัฐบาลมุโระมะจิ วัดคิงกะกุนี้สร้างจากทอง ปัจจุบันนี้ มีผู้มาเยี่ยมชมมากมาย และยังมีอะมะโนะฮะชิดะเตะ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นซึ่งมีความสวยงาม 


อันดับที่ 4 ชิเระโตะโกะ จังหวัดฮอกไกโด
         มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทรชิเรโทโกะที่ปลายสุดทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น คำว่า "ชิเระโตโกะ" เป็นคำในภาษาไอนุ มีความหมายว่า "จุดสุดขอบโลก" คาบสมุทรแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลจากเมืองมากที่สุดแห่งหนึ่งใน ญี่ปุ่น ทำให้มีพื้นที่หลายส่วนบนคาบสมุทรที่เข้าถึงได้จากการเดินเท้าและทางเรือ เท่านั้น อุทยานนี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นแหล่งที่พบประชากรหมีเป็นจำนวนมากที่สุดใน


อันดับที่ 5 ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ จังหวัดฮิโรชิมะ
           ศาลเจ้าอิสึกุชิมะสร้วขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 6 และอาคารในปัจจุบันสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่สำคัญของญี่ปุ่น ในอดีตเนื่องจากเกาะนี้เป็นเกาะศักสิทธิ์ สามัญชนจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาบนเกาะได้ ดังนั้นศาลเจ้าจึงสร้างบนฐานที่อยู่ในน้ำ และผู้ที่มาแสวงงบุญจะเดินทางมาทางเรือและแล่นเรือผ่านซุ้มประตูที่ตั้งอยู่ในทะเล ซึ่งซุ้มประตูของศาลเจ้าแห่งนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ตอนน้ำลงจะสามารถเดินไปยังซุ้มประตูได้ ซึ่งเป็นกิจกรรมยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว



อันดับที่ 6 อาณาจักรริวกิว จังหวัดโอกินาว่า

         เกาะโอกินาว่า เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดใน หมู่เกาะริวกิว ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น และเป็นที่ตั้งฐานทัพเรือของสหรัฐฯในช่วงสงครามโลกอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันยังคงเหลืออยู่ ตั้งอยู่บนเกาะโอกินาว่า มีเมืองนาฮา เป็นเมืองหลวง ในอดีตเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรริวกิว 


อันดับที่ 7 ภูเขาไฟฟูจิ
         ภูเขาไฟฟูจินี้เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นเรียกภูเขาไฟฟูจิว่า ฟูจิซัง (Fujisan– 富士山) มีความสูงราว 3,776 เมตร (12,388 ฟุต) จากวัดเส้นรอบวงของภูเขาไฟฟูจิวัดเส้นรอบวงได้ประมาณ 100 กิโลเมตร (โอ้ใหญ่มั่ก ๆ) ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดชิซึโอะกะ และจังหวัดยะมะนะชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดโตเกียว ภูเขาไฟฟูจิเคยระเบิดมาแล้วซึ่งครั้งหลังสุดที่ระเบิดคือเมื่อปี พ. ศ. 2250 (ค.ศ. 1707) ซึ่งตรงกับยุดเอโดะ




อันดับที่ 8 ชิระงะวะโงและโกะกะยะมะ จังหวัดกิฟุ
          หมู่บ้านทางประวัติศาสตร์แห่งชิระงะวะโงและโกะกะยะมะ เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในหุบเขาและตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นระยะ เวลานาน ทำให้ทั้งสองหมู่บ้านยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้ได้อย่างเหนียวแน่นและยังคงรักษาบ้านแบบโบราณที่เป็นแบบฉบับของที่นี่ได้เป็นอย่างดี บ้านที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็นรูปทรงที่เรียกว่า บ้านพนมมือ เนื่องจากหลังคาที่ชันและประกบกันคล้ายนพนมมือ ที่มีเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่น หลังคามุงด้วยกกและมีความชันเพื่อรับมือกับหิมะที่ตกหนักในเขตนี้ บ้านแต่ละหลังมีสามถึงสี่ชัน และชั้นบนสุดมักจะมีการเลี้ยงไหมด้วย





อันดับที่ 9 ปราสาทฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ
          ปราสาทฮิเมจิเป็นปราสาทญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดมาจากยุคสงครามชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกในชื่อว่า ปราสาทนกกระสาขาว ซึ่งมีที่มาจากพื้นผิวปราสาทภายนอกซึ่งมีสีขาวสว่าง เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของปราสาทญี่ปุ่น ด้วยมีลักษณะสถาปัตยกรรมและยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคาร
ต่างๆในบริเวณปราสาทถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น และรอบๆปราสาทยังมี
เครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท
จุดเด่นของปราสาทอย่างหนึ่งคือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและ
กำแพงต่างๆในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงโดยง่าย โดย
ทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบๆอาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย ระหว่างที่
ศัตรูกำลังหลงทางอยู่นี้ก็จะถูกโจมตีจากข้างบนอาคารหลักได้โดยสะดวก แต่อย่างไรก็ตาม ปราสาทฮิ
เมจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีในลักษณะนี้เลย ระบบการป้องกันต่างๆจึงยังไม่เคยถูกใช้งาน



อันดับที่ 10 นิกโก้ จังหวัดโทะชิกิ
          ศาลเจ้าและวัดแห่งนิกโกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนประกอบด้วย สิ่งก่อสร้างทั้งสิ้น 130 แห่ง ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างและโครงสร้าง 23 หลัง ของศาลเจ้าฟุตะระซันซึ่งเป็นศาลเจ้าชินโต  สิ่งก่อสร้าง 42 หลัง
ของศาลเจ้านิกโกโทโช และสิ่งก่อสร้าง 38 หลังของวัดรินโงซึ่งเป็นวัดในพระพุทธศาสนา วัดและศาล
เจ้าทั้งสามแห่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเนื่องจาก สิ่งก่อสร้างในวัดและศาลเจ้าแห่งนิกโกได้
สะท้อนให้เห็นถึงอัจฉริยะทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปะของญี่ปุ่นที่ผสมกลมกลืนกับที่ตั้งในป่าเขา
และธรรมชาติที่สวยงาม อันสื่อความหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่งมนุษย์และธรรมชาติตามปรัชญา
พุทธและชินโต

ติดต่อสอบถามแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่
http://www.iam-tour.com/

10 สิ่งที่ห้ามลืม เมื่อไปเยือนซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น


1"เอกสารการเดินทาง" ทั้งหนังสือเดินทาง, ตั๋วเครื่องบิน, เอกสารจองโรงแรม หรือทัวร์, บัตรประจำตัวผู้เอาประกันอุบัติเหตุ หรือ บัตรเครดิต ควรถ่ายเอกสารเอาไว้ 3 ชุด เก็บไว้ที่บ้าน 1 ชุด ที่เหลือพกติดตัวไปด้วย และอย่าลืมส่งสำเนาเอกสารทั้งหมดเข้าอีเมล์ตัวเอง สำหรับกรณีฉุกเฉิน สูญหายหรืออาจต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง หรือเจ้าหน้าที่โรงแรม โดยทั้งหมดนี้ต้องแยกออกจากกระเป๋าเดินทางต่างหากเพื่อเวลาจะใช้จะได้ไม่ยุ่งยาก


2"ยา"  อันนี้ต้องเตรียมให้พร้อมทั้งคนที่มีโรคประจำตัว และคนที่คิดว่าตัวเองสบายดี ยิ่งไปเมืองหนาวๆอย่างนี้ ยาแก้ปวด แก้ไข้ แก้หวัดอย่างได้เผลอลืมเด็ดขาด พลาสเตอร์ยา-เบตาดีน จำเป็นต้องมีติดไว้ ส่วนใครที่ท้องไส้อ่อนแอ พกยาแก้ท้องเสียไปด้วยก็ดีนะคะ


3"ปลั๊กแปลงไฟ+ปลั๊กพ่วง" เอาปลั๊กแปลงไฟไปตัวเดียวอาจจะไม่พอ แนะนำให้หาปลั๊กพ่วงไปด้วย เนื่องจากสิ่งที่เราต้องใช้ประโยชน์จากปลั๊กไฟนั้นมีหลายอย่าง อาทิ โทรศัพท์มือถือ, กล้องถ่ายรูป, คอมพิวเตอร์แลปท็อป ฯลฯ


4"กล้องถ่ายรูป, คอมพิวเตอร์แลปท็อป"
 อันนี้ขาดไม่ได้จริงๆสำหรับชีวิตการท่องเที่ยวชิคๆ กับภาพสวยๆที่แสนเลอค่า หากกล้องถ่ายรูปเมมโมรี่เต็มก็มีแลปท็อปที่จะช่วยชีวิตเราได้ ถ่ายโอนซะ ไปเก็บภาพมาใหม่ จะเก็บเอาไว้กี่ความทรงจำก็แล้วแต่ความพอใจได้เต็มที่


5"Pocket WiFi+โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และ โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค" 
  ต่อเนื่องจากข้อด้านบนเมื่อได้รูปสวยๆแล้วหลายครั้งที่เราอยากจะบอกโลกทันทีที่เราได้เห็นภาพบรรยากาศที่แสนประทับใจ การเอารูปลงโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค แทบจะเป็นเรื่องหลักที่ทุกคนต้องทำซะแล้ว ต้องบอกเลยว่า trend การใช้ AIS 3G Pocket Wifiที่ญี่ปุ่นเนี่ยกำลังมา!! ใครไปญี่ปุ่นก็ใช้กัน จะเดินทางไปเที่ยวไหนก็มี Wifi ส่วนตัวใช้ตลอดทริป AIS 3G Pocket Wifi เจ้าเครื่องนี้จะแปลงสัญญาณมือถือให้กลายเป็น Wifi แถมยังปล่อยออกมาให้ใช้ได้ทีละหลายๆเครื่องอีก จะพกคอม กล้องถ่ายรูป สมาร์ทโฟนแท็บเล็ตกี่เครื่อง ก็แชร์ Wifi ใช้ได้ทุกเครื่อง คราวนี้จะอัพรูป เช็คคอมเม้นท์ก็ทำได้ตลอดเวลา ราคาก็ไม่แพงนะ พอๆกับค่าเช่าเลยแต่ถ้าเช่า ต้องทั้งหาข้อมูล แถมจะงงๆกับวิธีใช้ แล้วพอจบทริปก็คืนไป แต่ถ้าเรามีและพกไป กลับมาเมืองไทยก็ยังใช้งานต่อได้อีก


6"แบตเตอรี่ และ อุปกรณ์พ่วง" รวมทั้งสายชาร์จ ของข้อบนๆ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ อุปกรณ์ในข้อ 4 และ ข้อ 5 ก็จบเลยนะจ๊ะ

7"แว่นกันแดด" หนาวก็จริง หิมะก็จริง แต่รู้หรือไม่ว่า เมื่อหิมะกระทบกับแสงแล้วสะท้อนเข้าตาเรา นั่นเท่ากับแสงจ้ามากๆ ที่สามารถทำร้ายดวงตาคู่สวยของเราได้ ดังนั้นมาร์คเอาไว้ตัวโตๆเลยสำหรับข้อนี้

8"แผนที่"ทั้งแผนที่เมือง แผนที่โรงแรม และ แผนที่ระบบขนส่ง เผื่อพลัดหลงเราจะได้ไม่งงมาก แนะนำ 
http://www.worldmapfinder.com/ มีทุกอย่างที่อยากได้จริงๆ

9"เงินสด" แนะนำว่าให้แลกที่เมืองไทยไปจะดีที่สุดเพราะเรตที่เมืองนอกค่อนข้างแพงจากนั้นให้แบ่งเงินสดออกเป็น หลายๆก้อน แล้วให้เก็บต่างที่กัน เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด (การล้วงกระเป๋ามีอยู่ทุกมุมโลก) หรือหลงลืมทำหล่นหาย
10"ปากกา น้ำยาลบคำผิด เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน และหนังสือดีๆสักเล่ม" สำหรับเขียนใบตรวจคนเข้าเมืองและหากเกิดข้อผิดพลาดน้ำยาลบคำผิดจะมีค่าดังทอง สำหรับ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เบอร์ตำรวจ : 110 รถดับเพลิง : 119 Japan Helpline : 0120 461 997 (สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ และให้บริการ 24 ชั่วโมง) ส่วนหนังสือดีๆมีไว้เป็นเพื่อนยามอยู่บนเครื่อง จิบกาแฟ และอีกหลากหลายสถานที่เลยทีเดียว

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.iam-tour.com/

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

นกฮูกในความเชื่อของคนญี่ปุ่น

         
            ความเชื่อของคนญี่ปุ่นมีหลายเรื่องมากมาย 1 ในนั้นก็คือความเชื่อและการเคารพสัตว์ต่างๆ ที่เป็นตัวแทน อย่างแมวกวัก ที่เราจะเห็นได้บ่อยๆ ตามร้านค้า เพื่อนำโชคลาภ เรียกลูกค้าเข้ามาอุดหนุนในร้าน แต่วันนี้ทีนเอ็มไทนจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักความเชื่อของสัตว์อีกชนิดนึงที่ขึ้นชื่อไม่แพ้แมวกวัก นั้นก็คือ นกฮูก สัญลักษณ์ความโชคดีของญี่ปุ่นค่ะ ไปติดตามพร้อมกันว่า ทำไมนกฮูกสัตว์หน้าดุ ถึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องรางนำโชคได้



            นกในภาษาญี่ปุ่น โดยทั่วๆ ไปจะเรียกกันว่า โทริ (Tori) แต่ถ้าเป็นเจ้านกฮูก ที่ชอบนอนกลางวัน ตื่นกลางคืนเพื่อออกหากินนั้น คนญี่ปุ่นเค้าเรียกกันว่า ฟุคุโร (Fukurou) ซึ่งเจ้าฟุคุโรนี่ผูกพันกับความเชื่อของคนญี่ปุ่นมาช้านานแล้ว เชื่อกันว่าคำว่า “ฟุคุโร” นั้นมาจากคำว่า Fuku ที่แปลว่า “โชค” ส่วนคำว่า rou ที่มาต่อท้ายนั้น คนญี่ปุ่นมักใช้ไว้ต่อท้ายชื่อของเด็กผู้ชาย บ้างก็เชื่อว่ามาจากคำว่า fu ที่แปลว่า “ไม่” และคำว่า kurou  ที่แปลว่า “ยากลำบาก ทุกข์ทรมาน” ทำให้คำว่า Fukurou มีความหมายว่า “ไม่ลำบาก” ก็ได้ จึงไม่แปลกเลยที่จะทำให้เจ้านกฮูกญี่ปุ่น กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความโชคดี (Engimono) หรือ Lucky Charm ของชาวญี่ปุ่นไปโดยปริยาย บางคนก็เชื่อว่าสี ขนาด และรูปร่างของเจ้านกฮูกนำโชคนี้จะให้คุณ (หรือส่งผล) ในด้านที่แตกต่างกันไป นอกจากจะนำโชคดีแล้วความเชื่อเกี่ยวกับนกฮูกในญี่ปุ่นก็แตกต่างกันไปตามภูมิภาคด้วย บางพื้นที่เชื่อว่านกฮูกเป็นนกผู้ไข สามารถช่วยทำนายสภาพอากาศได้ บางพื้นที่ก็ผูกพันกับนกชนิดนี้มาก อย่างชาวไอนุบนเกาะฮอกไกโดซึ่งมีวิถีชีวิตผูกพันกับสัตว์สองชนิดนั่นคือหมีและนกฮูก โดยพวกเขาเรียกนกฮูกชนิดหนึ่งว่า “Kotan Kor Kamuy” ที่แปลว่า “เทพเจ้าแห่งหมู่บ้าน” และมีตำนาน เรื่องเล่าเกี่ยวกับนกฮูกอยู่หลายเรื่องเลยทีเดียว หรืออย่างที่เมือง Tsukuba จังหวัดอิบารากิ (Ibaraki Prefecture) นกฮูกถือเป็นสัตว์สัญลักษณ์อย่างเป็นทางการของเมืองเลยทีเดียว ทั่วทั้งเมืองจะพบรูปวาด รูปถ่าย หรือรูปปั้นของเจ้านกฮูกนี้อยู่เต็มไปหมด แถมกรุงโตเกียวเองก็ยังมีการประดับครอบครัวนกฮูกไว้ที่หน้าสถานีชื่อดังและพลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นด้วย ที่นั่นก็คือสถานีรถไฟอิเคะบุคุโระ


          จากเหนือจรดใต้ของญี่ปุ่น เราจะได้เห็นเรื่องราวและร้านขายของเกี่ยวกับนกฮูกหลายแห่ง ทั้งที่ Maruyama Zoo บนเกาะฮอกไกโด หมู่บ้านไอนุ (Ainu Kotan Village) ที่ทะเลสาบอะคัง บนเกาะฮอกไกโด หรือที่แหลมอิซุ (Izu Peninsula) บนเกาะฮอนชู
          ในช่วงหลังการปฏิรูปเมจิ (Meiji Restoration) ราวปี 1868 ซึ่งญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศ ต้อนรับชาติตะวันตกมากขึ้น ภาพลักษณ์ของนกฮูกในสายตาคนญี่ปุ่นก็ถูกนำเสนอให้คนต่างชาติได้รู้จักในแง่มุมที่ต่างออกไปด้วย นกฮูกได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเฉลียวฉลาดและการศึกษาหาความรู้ ขณะที่ความเชื่อที่ว่านกฮูกเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและปกป้องผู้คนจากเรื่องร้ายๆ ก็ค่อยๆ จางหายไป
         คนญี่ปุ่นเชื่อว่าโอมะโมะริ (Omamori) หรือเครื่องรางนั้นจะสามารถปกป้องคุ้มครองจากสิ่งไม่ดีทั้งหลายได้ นอกจากนี้ยังมีไว้เพื่อเสริมสร้างความสุข ความสมหวังในชีวิตด้านต่างๆ อีกด้วย คนญี่ปุ่นจึงนิยมนำสัญลักษณ์รูปสัตว์นำโชคต่างๆ มาทำเป็นเครื่องราง ไม่ว่าจะเป็นแมว กระต่าย หรือแม้กระทั่งนกฮูก แน่นอนว่าเครื่องรางที่มีรูปนกฮูกนั้น เชื่อว่าจะเรียกโชคดีเข้ามา ทำให้ครอบครัวมีความสุข แต่ที่เชื่อกันอย่างสุดๆ ก็คือจะทำให้คนที่พกเครื่องรางมีสติปัญญาดี เรียนเก่ง สอบผ่านได้อย่างง่ายๆ จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียน นักศึกษา ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็มักจะเสาะหามาให้บุตรหลาน หรือเป็นของฝาก ของที่ระลึกสำหรับเด็กๆ
          แม้จะเป็นความเชื่อ.. แต่คนญี่ปุ่นสมัยใหม่ ก็ยังพกพาเครื่องรางนกฮูกกันทั่วไป ก็แหม.. ดีไซน์นกฮูกสมัยนี้ออกจะเก๋ไก๋ ดูน่ารัก มีมากมายหลายแบบเต็มท้องตลาดขนาดนี้ หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป มีทั้งแบบทำด้วยพลาสติก ไม้ หรือโลหะ ทำเป็นเครื่องรางบ้าง ที่ห้อยโทรศัพท์บ้าง เคสโทรศัพท์ หรือไม่ก็สติ๊กเกอร์บ้าง ทำเป็นรูปปั้น รูปแกะสลักก็เยอะแยะมากมาย แล้วเจ้าของพวกนี้คงจะไม่หมดไปจากสังคมชาวญี่ปุ่นอย่างง่ายๆ แน่นอน
         แต่อันที่จริงแล้วคนญี่ปุ่นบางกลุ่มก็มองนกฮูกในสองลักษณะ มีทั้งในแง่ดีและในแง่ร้าย อย่างนกฮูกที่เรียกว่านกฮูกยุ้งหรือนกแสกจะถือว่านำสิ่งชั่วร้ายมาให้ เชื่อว่าเป็นนกปีศาจ คล้ายๆ กับบ้านเราเหมือนกันนะ ในสมัยก่อนถ้ามาเกาะหลังคาบ้านละก็ คงขนหัวลุกกันเป็นแถว เพราะคนไทยเชื่อว่าจะเป็นลางร้าย ถึงขนาดอาจจะมีคนในบ้านเสียชีวิตเลยก็ได้ ส่วนนกฮูกเหยี่ยวจะมีแต่คนชอบ เพราะเชื่อว่าเป็นผู้นำสารจากเทพเจ้า จึงนำมาแต่สิ่งดีๆ

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://www.iam-tour.com/

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ฮอกไกโด ฤดูไหนเที่ยวที่ไหนได้บ้าง (Hokkaido, Japan)


ฮอกไกโด (Hokkaido) เกาะที่ชื่อคุ้นหูแห่งนี้ อยู่ทางเหนือสุดของญี่ปุ่น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่เพิ่งจะมาเป็ที่นิยมมากๆ ในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย เมื่อไม่นานมานี้ ก็ด้วยเหตุผลหลายๆ ข้อคือ รูปของทุ่งดอกไม้ห้าสี (ทุ่งดอกไม้สายรุ้ง) ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ทุ่งพิงค์มอสสีชมพูอร่าม ทุ่งนาสีทองตัดกับสีเขียวสวยงาม ที่โปรโมทบนเว็บ หรือบริษัททัวร์ รวมถึงเทศกาลหิมะที่เมืองซัปโปโรที่อลังการสุดๆ ทำให้กระตุ้นต่อมนักเดินทาง ให้ไปเยือนสักครั้ง

ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) (ฟุยุ)
          ในฤดูนี้ เป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นมาก และบางเดือน เช่น ระหว่างเดือน ธันวาคม-กุมภาพันธ์ ก็จะมีหิมะตกหนา ถ้าตั้งใจจะไปชมหิมะและสัมผัสอากาศเย็น ก็ต้องไม่พลาดช่วงนี้ แต่ก็ต้องทำใจว่า จะต้องแบกเสื้อหนาวไปเต็มอัตรา ในฤดูนี้จะมีการจัดงานเทศกาลหิมะขึ้นในหลายๆ เมือง ที่ใหญ่แะมีชื่อเสียงเก่าแก่ที่สุดก็คือ เทศกาลหิมะเมืองซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) ซึ่งจัดติดต่อกันมานานกว่า 60 ปีแล้ว มีคนไปดูงานนี้ปีละนับล้านคน และยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่เล่นกับหิมะได้อีกมากมายในที่ต่างๆ นอกเมือง เช่น ตามรีสอร์ทต่างๆ ได้แก่ การตกปลา เลื่อนหิมะ เล่นสกี และอื่นๆ

 ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม) (ฮะรุ)
          เป็นช่วงที่อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้น ในเดือนเมษายน อากาศจะยังค่อนข้างเย็นอยู่ และหิมะอาจยังละลายไม่หมด นับเป็นเดือนที่คนมาเที่ยวกันน้อยที่สุด อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นราวๆ เดือนพฤษภาคม ซึ่งจะสามารถชมซากุระได้ในเมืองทางใต้ของเกาะ เช่น ฮาโกดาเตะ มัตสิมาเอะ (ซึ่งช้ากว่าที่โตเกียวประมาณ 1 เดือน พอดีกับวันหยุดยาวต้นเดือนพฤษภาคมในบ้านเรา แต่ระวังว่า ตรงกับเทศกาลวันหยุดยาว หรือ Golden Week ของญี่ป่นด้วย ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวเยอะมากในสัปดาห์นี้) รวมทั้งทางตอนกลางเกาะก็สามารถชมซากุระได้เช่นกัน ส่วนตอนบนแถบเมืองมอนเบ็ทสิ มีดอกทิวลิปและดอกพิงค์มอสในช่วง พฤษภาคม-มิถุนายน

ฤดูร้อน (มิถุนายน – สิงหาคม) (นัสสึ)
         แถบเมืองฟุระโนะ ช่วงเดือน มิ.ย., ก.ค., ส.ค. มีดอกลาเวนเดอร์และทุ่งดอกไม้หลากสีออกมาให้ได้ชมกัน เมืองบิเอ (Biei) มีทุ่งนาสีทองตัดกับสีเขียว และเนินเขา ทิ้วไม้ที่สวยงาม สามารถขี่จักรยานเที่ยวชมได้ และยังมีที่อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งช่วงนี้นับว่าเป็นช่วงไฮไลท์ของเกาะฮอกไกโด ที่นักท่องเที่ยวจะมากันมากที่สุด เพราะนอกจากอากาศจะกำลังสบาย ไม่ต้องแบกเสื้อหนาวพะรุงพะรังแล้ว ช่วงกลางวันยังยาวนานกว่ากลางคืน พระอาทิตย์ตกช้า ประมาณสองทุ่ม ทำให้มีเวลาเที่ยวได้มากในแต่ละวัน

ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน) (อะคิ)
         ในช่วงเดือน กันยายน – พฤศจิกายน อากาศจะเริ่มเย็นลง สามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีได้หลายที่ เช่น Sounkyo, Akadake และ Ginsendai ในอุทยานแห่งชาติ Daisetsuzan เมือง Jozankei เมืองอาบน้ำแร่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซัปโปโร สวนโอนุมะทางเหนือของเมืองฮาโกดาเตะ เป็นต้น ช่วงที่เหมาะที่สุดจะเป็นเดือน ตุลาคม

ติดต่อสอบถ้าข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่
http://www.iam-tour.com/